
คนป่วยเป็นโรคมะเร็งนวดได้ไหม
หลายปีที่ผ่านมาการนวดถูกห้ามใช้สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเพราะเชื่อกันว่า
#การนวดสามารถแพร่กระจายมะเร็งผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิต
ตำนานนี้ถูกท้าทายในปี 1990 ด้วยการตีพิมพ์ Massage Therapy and Cancer โดย Debra Curties and Medicine Hands: Massage Therapy for People Living with Cancer โดย Gayle MacDonald
จากการวิจัยทำให้ทราบแล้วว่า #การนวดบำบัดจะไม่มีผลต่อการแพร่กระจายของมะเร็ง
เพราะระบบน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิตทั้งสองจะเคลื่อนย้ายของเหลวอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะมีหรือไม่มีการนวดก็ตาม ถ้ามะเร็งกำลังจะแพร่กระจายจะนวดหรือไม่นวดก็ไม่ได้เป็นตัวควบคุมหรือกระตุ้นการแพร่กระจายของมะเร็ง
การวิจัยของ สถาบันมะเร็งแห่งชาติออสเตรเลีย Cancer Coucil of Australia พบว่า
คนป่วยเป็นโรคมะเร็งทุกระยะสามารถรับการนวดได้จากการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติออสเตรเลีย Cancer Coucil of Australia ได้ยืนยันว่าการนวดแม้จะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อของหรือของเหลวในร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบเลือดระบบน้ำเหลืองแต่ไม่ได้ส่งผลต่อการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งแต่อย่างไร
การนวดปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือไม่
การนวดเบาๆและการนวดเพื่อการผ่อนคลายเป็นการนวดที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในทุกระยะแต่หมอนวดหรือเธอราพีสที่ทำการนวดผู้ป่วยจะต้องมีการซักประวัติของผู้ป่วย และตรวจสอบอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยให้ชัดเจน หากบริเวณไหนที่มีอาการเจ็บปวดบวมแดงอักเสบก็ไม่ควรไปนวดบริเวณนั้นเพราะแน่นอนว่าหากสังเกตเห็นผิวชั้นบนมีอาการอักเสบภายในย่อมมีอาการเจ็บปวดและอักเสบมากกว่า
บางคนก็กลัวว่าการนวดจะทำให้เชื้อมะเร็งแพร่กระจายไปตามระบบน้ำเหลืองหรือระบบเลือดซึ่งจริงๆแล้วระบบน้ำเหลืองและระบบเลือดของคนเราก็ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วเพราะเลือดก็ต้องไปเลี้ยงเพราะเลือดก็ต้องนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์อยู่ตลอดเวลาและน้ำเหลืองก็ทำหน้าที่เหมือนการ์ดป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งระบบน้ำเหลืองก็มีการไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาเช่นกันอย่างไรก็ตามการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไม่สามารถทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้ จากการวิจัยเซลล์มะเร็งสามารถพัฒนาและแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆของร่างกายเพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง DNA ภายในเซลล์นั้นๆ และกระบวนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของร่างกาย
ในประเทศออสเตรเลียการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแพทย์ผู้ทำการรักษาจะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับบริการนวดซึ่งการนวดเป็นหนึ่งในแนวทางการเยียวยาและบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยโรคมะเร็งซึ่งการนวดนี้สามารถรับบริการได้ตามโรงพยาบาลและคลินิกนวดทั่วไปภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้รักษาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดทางร่างกายให้แก่ผู้ป่วย
สรุปง่าย #การนวดไม่ได้ส่งผลต่อการแพร่กระจายของมะเร็งนั่นเอง

โรงพยาบาลบางแห่งก็เริ่มให้บริการนวดบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรงพยาบาลที่ได้รับการว่าจ้างหรือทำสัญญากับนักบำบัด
โรงเรียนสอนนวดและโปรแกรมการฝึกอบรมต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเลิกความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการนวดสามารถแพร่กระจายมะเร็งได้
แม้ในปัจจุบันโรงเรียนสอนนวดบางแห่งก็ไม่ได้มีการสอนการนวดสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติแล้วเราสามารถนวดให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งได้อย่างปลอดภัย แต่หมอนวดต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายและอารมณ์ของผู้ป่วยก่อนที่จะลงมือนวด และที่สำคัญควรมีใบรับรองแพทย์ประกอบการนวด เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้แน่ใจว่านักนวดบำบัดนั้น ทราบถึงอาการป่วยของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้ออกแบบการนวดให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
ทำความเข้าใจกับโรคมะเร็ง
ความสำเร็จของการนวดผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้และประสบการณ์ของนักบำบัด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นสำหรับนักบำบัดจะรู้ว่ามะเร็งคืออะไรแพร่กระจายอย่างไรและมีแนวโน้มที่จะย้ายไปที่ใดในร่างกาย
องค์การอนามัยโลกระบุว่ามะเร็งเป็น“ คำทั่วไปสำหรับโรคกลุ่มใหญ่ที่สามารถส่งผลกระทบต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณสมบัติที่กำหนดอย่างหนึ่งของมะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ตัวอย่างกลุ่มของโรคมะเร็ง
1. มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก (Leukemia) ทำให้มีความผิดปกติของเม็ดเลือด
2. มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน (Lymphoma and Myeloma)
3. มะเร็งสมองและไขสันหลัง (Central Nervous System Cancer)
4. มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากผิวหนัง หรือ เยื่อบุอวัยวะต่างๆ (Carcinoma)
5. มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมากจากกระดูก (Sarcoma) กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือ เส้นเลือด
ระยะของมะเร็ง
ระยะโรคมะเร็ง คือ ตัวบอกความรุนแรงของโรค (การลุกลามและแพร่กระจาย) บอกแนวทางการรักษา และแพทย์ใช้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งโดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 0 – 4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะ เพื่อที่แพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยประเมินการรักษา
ระยะศูนย์ (0) ยังไม่จัดเป็นโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์เพียงมีลักษณะเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกราน (Invasive) เข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง
ระยะที่ 1 : ก้อนเนื้อ / แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
ระยะที่ 2 : ก้อน / แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/อวัยวะ
ระยะที่ 3 : ก้อน / แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ / อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ / อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
ระยะที่ 4 : ก้อน / แผลมะเร็งขนาดโตมาก และ / หรือลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ / อวัยวะข้างเคียง จนทะลุ และ / หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ / หรือมีหลากหลายต่อม และ / หรือ แพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ / หรือ หลอดน้ำเหลือง / กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ / อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ในช่องอก และ / หรือต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า
การนวดมีผลต่อการรักษาแบบต่างๆอย่างไร?
เมื่อผู้ป่วยมะเร็งอยู่ในขั้นตอนการรักษาโรค การนวดจะปรับเปลี่ยนตามประเภทของการรักษาและผลข้างเคียงที่ลูกค้าอาจประสบ ตัวอย่างเช่น เมื่อการผ่าตัดเป็นทางเลือกในการรักษา กว่าแผลจะหายอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
เมื่อได้รับอนุญาตจากแพทย์ให้เข้ารับการนวดแล้วสิ่งสำคัญคือ
1) ผู้นวดจะต้องทราบว่าแผลอยู่ที่ใด และควรหลีกเลี่ยงที่เป็นแผลจนกว่าจะหายดี
2) ลูกค้าอาจมีเส้นให้ยาเคมีบำบัด หรือพอร์ต (Port) (คือ อุปกรณ์ที่ฝังไว้ใต้ผิวหนังของร่างกาย เพื่อใช้ในการนำตัวอย่างเลือดหรือการให้ยาต่างๆเข้าสู่หลอดเลือดดำในร่างกาย) ถ้ามีให้ระวังและหลีกเลี่ยงการนวดในบริเวณนั้น
3) ลูกค้าอาจมีสายระบายของเสียเพื่อให้ของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย
ดังนั้นนักนวดบำบัดจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของเส้นให้ยาเคมีบำบัด หรือพอร์ต (Port) และสายระบายของเสียรวมถึงลักษณะที่ปรากฏจะช่วยให้นักบำบัดหลีกเลี่ยงพื้นที่เหล่านี้ได้
โดยทั่วไปจะอนุญาตให้นวดใกล้แผลผ่าตัดหายเป็นเวลา 6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามแพทย์อาจอนุญาตให้ลูกค้าได้รับการนวดก่อนสิ้นสุดระยะเวลา 6 สัปดาห์
การนวดเบา ๆ เป็นเวลา 20 ถึง 30 นาทีและใช้แรงกดน้อยเป็นการนวดเบื้องต้นที่ดีหลังการผ่าตัด
การนวดครั้งต่อไปสำหรับลูกค้ารายเดียวกันขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นทนต่อการนวดครั้งก่อนได้ดีเพียงใด
ในระหว่างนวด นักบำบัดควรรับฟีดแบคจากลูกค้า เกี่ยวกับความรู้สึก ระยะเวลาของการนวด น้ำหนักในการนวด ควรเก็บจดบันทึกข้อมูลของลูกค้าและประวัติการนวดแต่ละครั้งไว้เพื่ออ้างอิงการนวดในครั้งต่อๆไป เพื่อที่จะสามารถนวดบำบัดได้อย่างต่อเนื่อง
ความเครียดกับผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง
การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งมักจะเปลี่ยนชีวิตของบุคคลนั้นไปตลอดกาล การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว เป้าหมายในชีวิต บทบาทการเงินและการจ้างงาน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในบุคคลที่เป็นมะเร็งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ ความรู้สึก ภาพลักษณ์ของร่างกายและความนับถือตนเอง เป้าหมายถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาที่จะรักษาโรคให้หายขาดและกลับมามีสุขภาพดีดังเดิม แต่ในขณะเดียวกันผู้ป่วยก็มักมีความเครียด ความกังวลใจ สิ้นหวังรวมถึงรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง
นักจิตวิทยาดร. ฮันส์เซลี อธิบายว่าความเครียดคือการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคน ๆ หนึ่งซึ่งกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง การเปลี่ยนแปลงอาจมาจากแหล่งภายนอกหรือภายใน แม้ว่าความเครียดอาจเป็นแรงกระตุ้นเชิงบวกที่เรียกว่า eustress แต่ก็อาจเป็นแรงบั่นทอนเชิงลบที่เรียกว่าความทุกข์ การตอบสนองอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการต่อสู้เพื่ออยู่รอด ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจความดันโลหิตและการหายใจเนื่องจากระบบไหลเวียนโลหิตจะส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญ การวินิจฉัยโรคมะเร็งก่อให้เกิดความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งทางอารมณ์จิตใจจิตวิญญาณและร่างกาย การตอบสนองต่อความเครียดของการวินิจฉัยโรคมะเร็งขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในเช่นแนวคิดในตนเองบุคลิกภาพความภาคภูมิใจในตนเองและบทบาท นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเช่นเหตุการณ์ในชีวิตประสบการณ์สภาพสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนทางสังคม
วิธีหนึ่งในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถจัดการกับความเครียดทางอารมณ์และทางกายภาพของโรคได้คือการนวดบำบัด เพื่อการผ่อนคลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเครียดแม้ว่าลูกค้าจะไม่ทราบถึงประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์มากมายก็ตามเมื่อความตระหนักรู้เพิ่มขึ้น ในหมู่ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากขึ้นอาจขอการนวดเพื่อรับมือและจัดการกับผลข้างเคียงของการรักษา
ประโยชน์ของการนวดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
ประโยชน์ทางกายภาพ
• ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
•บรรเทาอาการปวดและเมื่อยล้า
•เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
•ฟื้นฟูสภาวะสมดุล
•ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด เพิ่มพลังงาน
•ช่วยให่หลับได้ดีขึ้น หลับง่ายขึ้น
ประโยชน์ทางอารมณ์
•ลดอารมณ์ฉุนเฉียว ความโกรธ หรือลดอารมณ์หงุดหงิด
•ลดภาวะซึมเศร้า
•ลดระดับความเครียด
• ลดความสะเทือนใจ
•ลดความวิตกกังวล
•ปล่อยฮอร์โมนออกซิโทซินและเอนดอร์ฟิน ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีและมีกำลังใจ
นวดผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง
การนวดผู้ป่วยด้วยมะเร็งเป็นการนวดบำบัดด้วยวิทยาผสมผสานการนวดหลายรูปแบบเข้าด้วยกันในช่วงการนวด
การนวดได้รับการปรับแต่งออกแบบสำหรับลูกค้าที่โดยพิจารณาจาก
1)ความรุนแรง
2)ระยะโรค
3)ชนิดของเซลล์มะเร็ง
4)อวัยวะที่เป็นโรคมะเร็ง
5)ผ่าตัดได้หรือไม่ หลังผ่าตัดยังคงหลงเหลือก้อนมะเร็งหรือไม่
6)ผลพยาธิวิทยาชิ้นเนื้อหลังผ่าตัดเป็นอย่างไร
7)อายุและสุขภาพผู้ป่วย
โดยต้องพิจารณาปัจจัยทั้งหมดสำหรับกำหนดเองรูปแบบการนวดที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อปฏิบัติในการนวดผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง
- การนวดแต่ละครั้งสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง นักบำบัดต้องปรับเปลี่ยนเทคนิค ตัวอย่าง เช่น หากลูกค้าอยู่ระหว่างการฉายรังสีห้ามนวดหรือถูบริเวณที่ฉายรังสี ลูกค้าเหล่านี้ได้รับคำแนะนำว่าอย่าถู แต่ให้ซับให้แห้งหลังจากอาบน้ำหรือโดนน้ำ
- แม้ว่าบริเวณนั้นจะไม่เกิดการอักเสบ แต่เนื้อเยื่อก็ไวต่อการสัมผัส สำหรับความอ่อนโยนของผิวหนังและการอักเสบจากรังสีบำบัดอาจใช้ขี้ผึ้งและครีมตามใบสั่งแพทย์ได้ สำหรับการอักเสบเล็กน้อยต้องใช้ครีมตามที่แพทย์แนะนำ หรืออาจใส่ถูงมือนวดๆเบาๆก็เพียงพอแล้ว
- สำหรับลูกค้าที่ทำเคมีบำบัดผู้นวดควรตระหนักถึงสภาพทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์ และประสบการณ์ที่ทางการรักษาที่ลูกค้าเหล่านี้ได้รับ จึงต้องวิเคราะห์และประเมินผลวันต่อวันในแต่ละวัน โดยการนวดแต่ละครั้งจะได้รับการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้าในวันนั้น ๆ
จุดประสงค์ของการนวดควรเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ไม่ใช่เพื่อล้างพิษ ยาที่มีฤทธิ์แรงที่ใช้ในการรักษามะเร็งนั้นส่งผลต่อร่างกายในทางลบเป็นอย่างมาก และร่างกายจำเป็นต้องล้างพิษเองอยู่แล้ว
หากผู้ป่วยรู้สึกคลื่นไส้จากการทำเคมีบำบัดนักบำบัดควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและการเคลื่อนไหวที่โยกไปมาซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้อาการคลื่นไส้รุนแรงขึ้น เพื่อช่วยในการคลื่นไส้ผู้ป่วย
การคอนเซาท์สอบถามผู้ป่วยโรคมะเร็งที่จะเข้ารับบริการนวดควรมีการสอบถามข้อมูลให้ชัดเจนหากเป็นไปได้ควรสอบถามลูกค้าว่าแพทย์ผู้ทำการรักษาแนะนำให้รับการนวดหรือไม่ถ้ามีใบรับรองแพทย์มาด้วยจะดีมาก
ในการสอบถามผู้ป่วยมะเร็งที่รับการนวดเราควรจะสอบถาม
- ประเภทของโรคมะเร็งที่เป็น
- ระยะที่เป็น
- อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
- ผลข้างเคียงของการรักษา คีโม ฉายแสง รับประทานยา
- ยาที่รับประทาน
- โรคอื่นๆที่เป็นอยู่
อาการที่ปรากฎที่ห้ามนวด
- เจ็บปวดเมื่อยล้ามากเกินไป
- เลือดออก
- ฟกช้ำ
- เลือดคั่ง
- อาเจียน เวียนหัว
- แผลต่างๆ
- อาการอักเสบของผิวหนัง
- กระดูกพรุน
โดยข้อมูลที่ได้ โดยข้อมูลที่ได้ต้องจดบันทึกอย่างละเอียดเพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์แม่ร้านนวดโดยปรับให้เหมาะสมกับอาการป่วยของผู้ป่วยแต่ละคน
ในกรณีที่ลูกค้ารับการรักษาด้วยการให้คีโมผู้ป่วยจะมีอุปกรณ์ที่แพทย์สายไว้ใต้ผิวหนังเพื่อรับการรักษาคีโมควรหลีกเลี่ยงที่จะนวดบริเวณนั้นผู้ป่วยบางรายจะมีอาการผิวบอบบางความรู้สึกไว้ปลายมือปลายเท้าจะช้ำง่ายบางรายมีเลือดออกในการนวดเราจะนวดให้เบาที่สุด ให้เว้นบริเวณที่มีอาการบาดเจ็บและในระหว่างนวดก็ควรจะถามลูกค้าเสมอว่าลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไรหากลูกค้าพึ่งได้รับคีโมมาภายในเวลา 72 ชั่วโมงหากจะต้องทำการนวดจะต้องมีการสวมถุงมือนวด
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการฉายแสง Radio Therapy หลังจากได้รับการฉายแสงต้องรออย่างน้อย 2 สัปดาห์ถึงจะทำการนวดได้แล้วและห้ามนวดไปบนบริเวณที่ได้รับการฉายแสงในการนวด ให้ใช้น้ำมันหรือครีมในการนวดห้ามใช้น้ำมันหอมระเหย ยาหม่อง หรือยาบรรเทากล้ามเนื้อ
หลังรับการผ่าตัดควรรอให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างน้อย 2 ถึง 3 เดือนและไม่ควรจะนวดบริเวณที่มีการผ่าตัดและให้นวดบริเวณรอบๆได้
แนวทางการนวดมะเร็ง
ไม่มีท่าทางหรือเทคนิคที่ตายตัวหรือเทคนิคที่ชัดเจนสำหรับการนวดมะเร็ง เนื่องจากลูกค้าที่เป็นมะเร็งตอบสนองต่อมะเร็งและการรักษาต่างกัน การนวดสวีดิชขั้นพื้นฐานควรได้รับการปรับเปลี่ยนโดยพิจารณาจากอาการและสภาพร่างกายของลูกค้า และควรปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานของการนวดและความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งและการรักษาตลอดจนผลกระทบต่อร่างกาย
การนวดครั้งแรกที่ให้กับผู้ป่วยมะเร็งห้ามนวดแรงหรือใช้ท่าเยอะเน้นการนวดโดยใช้เทคนิคแบบ Effleurage และนวดในระยะเวลาสั้นๆ และใช้น้ำหนักเบาถึงปานกลาง อาจต้องใช้การนวดหลายครั้งเพื่อให้ได้เวลาและแรงกดดันที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การนวดเริ่มต้นด้วยการนวดแบบสวีดิชเพื่อการผ่อนคลายขั้นพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งและการรักษา การนวดครั้งแรกสำหรับลูกค้ารายใดรายหนึ่งควรเป็นสัมผัสที่นุ่มนวล แต่หนักแน่นที่ลูกค้าสามารถรู้สึกได้ แต่เป็นมากกว่าลูบไล้เบาๆตามเส้นประสาทหรือเส้นขน ตามกฎทั่วไปการนวด 15 ถึง 30 นาทีจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
การนวดโดยทั่วไปอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางคนที่กำลังพักฟื้นจากการรักษาโรคมะเร็ง แต่ยังมีรูปแบบของการสัมผัสที่ปลอดภัยและการสัมผัสจากผู้ที่มีประสบการณ์นวดและผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีจะสามารถนวดให้กับผู้ป่วยในมะเร็งทุกระยะ ทางที่ดีควร จำกัดการนวดแต่ละครั้ง นวดเพียงแค่ หนึ่งหรือสองส่วน เช่น
– มือและแขน
– คอและไหล่
– หลัง
– เท้าและขา
ในกรณีที่นักนวดบำบัดพิจารณาว่าลูกค้าไม่ควรรับการนวด ควรให้คำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อให้ลูกค้ากลับไปดูแลตัวเองและยังคงเน้นการสัมผัส:
•ลูบเบาๆ
•สัมผัสด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้น.
•นวดด้วยความแผ่วเบาแนวปลอบประโลม
•ช่วยเหลือลูกค้าด้วยภาพที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีความหวังและผ่อนคลาย เช่น ภาพที่มีสีสันของดอกไม้ ท้องฟ้าหรือวิวทะเล
•กระตุ้นให้ผู้รับบริการหายใจเป็นจังหวะ โดยหายใจเข้าออกลึกๆ
-จับศีรษะโดยวางมือบนขมับโดยให้นิ้วกางออกรอบใบหู นวดเบาๆ
•มือคลึงใบหูเบาๆ
•ถูฐานของท้ายทอย
•นวดหน้าผากโดยเลื่อนนิ้วเบา ๆจากระหว่างคิ้วถึงด้านบนของหน้าผาก
ใช้มือข้างหนึ่งจากนั้นอีกข้างหนึ่งทำซ้ำหกครั้ง
•ถูฝ่ามือด้วยปลายนิ้ว
นวดนิ้วแต่ละนิ้วโดยคลึงผิวเบา ๆ และจากนั้นดึงแต่ละนิ้วออก
•ใช้แรงนวดขวางกล้ามเนื้อทั่วข้อมือ
•วางมือข้างหนึ่งบนหน้าอก Pectolaris Major หรือใต้แนวกระดูกไหปลาร้าและมืออีกข้างหนึ่งบนช่องท้องค้างไว้ 1 หรือ 2 นาที หลีกเลี่ยงวิธีนี้หากลูกค้ามีการผ่าตัดมะเร็งเต้านมเนื่องจากอาจกระทบกระเทือนบริเวณที่เป็นมากเกินไปก
•บีบกล้ามเนื้อบ่า trapezius
ข้อควรระวังในการนวดผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง
- ระหว่างที่นวดให้ผู้ป่วยสิ่งสำคัญที่ต้องระวังก็คือ
ไม่นวดไปยังบริเวณที่มีอาการอักเสบโดยเฉพาะต่อมน้ำเหลือง - ไม่นวดบริเวณที่มีอาการฟก ช้ำ ดำเขียว เพราะผิวลูกค้าจะ sensitive มากแล้ว
- ให้ระวังถ้าหากลูกค้าใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ใต้ผิวหนัง
- ให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอาการเลือดคั่ง หรือเส้นเลือดบวม โป่งพอง หรือมีสัญญาณว่าการไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ
- หากลูกค้าเป็นมะเร็งที่ลุกลามไปถึงกระดูก ควรจะนวดด้วยน้ำหนักที่เบาเพราะลูกค้าจะมีกระดูกที่เปราะบาง แตกหักง่าย
- ส่วนแผลที่แห้งแตกหรือผิวอ่อนแอให้ลูบเบาๆก็พอ
- ควรถามลูกค้าตลอดเวลาว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไรในกรณีที่ลูกค้าเหนื่อยล้ามากๆห้ามไปนวดกระตุ้นเด็ดขาด
#นวดคนเป็นมะเร็ง #คนป่วยโรคมะเร็งนวดได้ไหม #การนวดคนป่วยมะเร็ง
ข้อห้าม
- ห้ามกดจุดรุนแรง
- ห้ามดัดตัว
- ห้ามยืดกล้าม
- ห้ามใช้ความร้อน หรือเย็นจัด
- ห้ามใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า
- ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหย
การ #นวดจะช่วยให้ลูกค้าที่ป่วยเป็นมะเร็ง รู้สึกดีขึ้น หวังว่าหลังจากจบบทความนี้ จะช่วยให้หมอนวดทั้งหลายเข้าใจการนวดสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้มากขึ้น
ด้วยความปราถนาดี จาก ครูพิมพ์ Spa Born
คนป่วยเป็นโรคมะเร็งนวดได้ไหม
ติดตามเพิ่มเติม:
Related Posts
คนป่วยเป็นโรคมะเร็งนวดได้ไหม
หลายปีที่ผ่านมาการนวดถูกห้ามใช้สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเพราะเชื่อกันว่า #การนวดสามารถแพร่กระจายมะเร็งผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิต ตำนานนี้ถูกท้าทายในปี 1990 ด้วยการตีพิมพ์ Massage Therapy and Cancer โดย Debra Curties and Medicine Hands: Massage Therapy for People Living with Cancer โดย Gayle MacDonald
วิธีการโปรโมทร้านนวดสปา
วิธีการโปรโมทร้านนนวดสปา วิธีการโปรโมทร้านนวดสปา สามารถทำได้หลายทาง แต่วิธีที่ได้ผลเร็วที่สุดคือการตลาดออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้จำนวนมากและรวดเร็วที่สุด มีทั้งการโปรโมทร้านนวดสปาแบบฟรีและเสียมีค่าใช้จ่าย ถ้าคุณเปิดร้านนวด แต่ไม่ทำการตลาด ไม่รู้จักวิธีโปรโมทร้านนวดสปา เงินลงทุนที่คุณลงไปเป็นล้าน อาจต้องสูญเปล่าอย่างแน่นอน ต่อให้คุณเปิดร้านอย่างหรู ใช้ของที่แพงที่สุด ดีที่สุด มีพนักงานเก่งที่สุด แต่ถ้าไม่ทำการตลาด ไม่โปรโมทร้านนวดสปาของคุณแล้วใครจะรู้จักร้านของคุณ ใครจะรู้ว่าร้านคุณดีแค่ไหน แต่เวลาที่ทำการโปรโมทร้านนวดสปาของคุณแล้ว คุณควรจะมีระบบการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโใงเลยจะดีที่สุด ระบบที่จะเปฌนเหมือนพนักงานของคุณ ที่ทำหน้าที่แทนเรา 24
การนวดดีพทิชชู่ หรือการนวดกล้ามเนื้อชั้นลึก (Deep Tissue Massage)
การนวดดีพทิชชู่ หรือการนวดกล้ามเนื้อชั้นลึก (Deep Tissue Massage) การนวดที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายสำหรับลูกค้าที่มีอาการปวดเมื่อยคือ การนวดดีพทิชชู่ หรือการนวดกล้ามเนื้อชั้นลึก (Deep Tissue Massage) นั่นเอง การนวดดีพทิชชู่ คือการนวดน้ำมันประเภทนึง ที่มีพื้นฐานหลักๆมาจากการนวดสวีดิช โดยเน้นการนวดให้ถึงกล้ามเนื้อชั้นลึก หรือเป็นการนวดแก้อาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เช่น พังผืดหนาผิดปกติ, Tigger Point, อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ปวดหัว หรืออาการปวดกล้ามเนื้อทั้งระยะสั้น และเรื้อรัง
น้ำมันหอมระเหยหรือน้ำมันอโรม่า
Facebook-f Youtube เทคนิคการนำน้ำมันหอมระเหย หรือน้ำมันอโรม่า ไปใช้ในการนวด น้ำมันหอมระเหย หรือน้ำมันอโรม่า หรือสุคนธบำบัดเป็นศาสตร์การใช้นำ้มันหอมระเหยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและการบำบัดแบบองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจและอารมณ์ มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คือ Aromatherapy ซึ่งเป็นการผสมของศัพท์ 2 คํา คือ Aroma ซึ่งหมายถึง กลิ่นหอม Therapy ซึ่งหมายถึง การบําบัด รวมกันหมายถึง การบำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหย มีการใช้น้ํามันหอมทางการแพทย์มีมากกว่าสี่พันปี
น้ำมันตัวพาที่เหมาะกับการนวดที่สุด
น้ำมันตัวพา Carrier Base Oils น้ำมันตัวพา Carrier Base Oils ก็เหมือนกับน้ำมันหอมระเหยที่ไม่ได้มีลักษณะเหนียวหรือข้นมาก เหมือนน้ำมันอื่น น้ำมันตัวพาต้องสกัดมาจากพืชเท่านั้น เราใช้น้ำมันตัวพาผสมกับน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวด น้ำมันตัวพาสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ดี จึงสามารถพาน้ำมันหอมระเหยเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าน้ำ น้ำมันตัวพาที่เหมาะกับการนวดที่สุด คุณสมบัติของน้ำมันตัวพา Carrier Base Oils สามารถ สามารถทาลงบนผิวกาย ผิวหน้า ได้โดยตรง ผสมกับน้ำมันหอมระเหยใช้นวดตัวเพราะมีคุณสมบัติใสไม่เหนียว มีกลิ่นเล็กน้อย